Sunday, July 24, 2011

ช็อคโกแลต ซีสต์1 TEL: 85620 2222 8597

ช็อคโกแลต ซีสต์1                                     
ผู้หญิงหลายท่านอาจเกิดอาการปวดท้องเวลาเป็นประจำเดือน เพราะ prostaglandin ที่หลั่งออกมาในช่วงเป็นรอบเดือน นอกจากปวดท้องแล้วก็อาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน
Prostaglandin : สารชนิดหนึ่งในร่างกายซึ่งคล้ายฮอร์โมน คือ ต้นเหตุที่ทำให้ปวดท้องขณะมีประจำเดือน และ เป็นสารชนิดที่ทำให้ผู้หญิงเราเกิดอาการปวดท้องตอนจะคลอดลูก... สารนี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัว เพื่อช่วยให้ร่างกายขับประจำเดือนออกมา    บางท่านอาจเริ่มวิตกกังวลถึงโรคภัยที่ผู้หญิงมักจะกลัว ไม่ว่าจะเป็น เนื้องอก มะเร็ง ผังผืด ที่อาจพบในระบบสืบพันธุ์
โรคช๊อกโกแลตซีส (chocolate cyst : one having dark, syrupy contents, resulting from collection of hemosiderin following local)
     
1. คำจำกัดความของโรคช๊อกโกแลตซีส
ช๊อกโกแลตซีส หมายถึง ''ถุงน้ำที่มีสารของเหลวสีคล้ายกับช๊อกโกแลตอยู่ภายใน'' ความรุนแรงมากพอสมควร
การเรียกตามลักษณะที่เห็นความจริงแล้ว คำเต็มก็คือ..... ''โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ เอ็นโดเมทริโอซิส
ปกติตัวเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก ควรจะอยู่เฉพาะภายในโพรงมดลูกเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ตัวเยื่อบุโพรงมดลูกนี้กระจายออกนอกตัวโพรงมดลูกไปเกาะอยู่ ที่ใดก็ตามก็จะเป็นโรคของตำแหน่งนั้นเกิดขึ้น
2. ในปัจจุบันพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากน้อยแค่ไหน โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย
เราจะพบมากที่สุดก็คือ พบได้ 10- 20% ในกลุ่มของผู้ที่อยู่ในวัยที่มีประจำเดือน
กลุ่มคนลูกยากจะเป็น 30-45% คำว่าผู้ป่วยที่มีลูกยากก็คือ คู่สมรสที่แต่งงานเกิน 1 ปี มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง
3. กลไกที่ก่อให้เกิดโรค ---ปัจจุบันนี้เรา ยังไม่ทราบกลไกที่ทำให้เกิดโรคที่แท้จริง แต่มีทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อถือคือ ทฤษฎีของแซมซัน จะมีเลือดประจำเดือนส่วนน้อยส่วนหนึ่งไหลกลับเข้าไปในช่องท้อง โดยผ่านท่อรังนำไข่ เลือดประจำเดือนที่ไหลเข้าสู่ช่องท้องก็จะนำเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกไปด้วย แต่ตำแหน่งของเซลล์นี้ถ้าไปฝังตัวอยู่ที่อวัยวะไหนก็จะทำให้เกิดโรคนี้ขึ้น ในอวัยวะนั้น ส่วนมากเราจะพบมากในบริเวณรังไข่
4. นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคอีกหรือไม่
ผู้หญิงปกติทุกคนจะมีการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน แต่บางคนเป็นโรค, บางคนไม่เป็นโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยง คือ
4.1 มีประวัติครอบครัว โดยเฉพาะทางมารดาหรือว่าพี่สาว, น้องสาวของผู้ป่วย ถ้าเกิดเป็นโรคนี้ตัวผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นโรคที่สูงขึ้นมากกว่าคนทั่วไป 3-10 เท่า
4.2 กลุ่มผู้ป่วยที่มีการทำงานของรังไข่นาน ๆ รังไข่ทำงานนานในกรณีที่เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยหรือประจำเดือนรอบ สั้น เดือนหนึ่งมีมากกว่า 2 ครั้ง หรือออกมากหรือออกนานมากกว่า 7 วัน
4.3 กลุ่มที่มีความผิดปกติโดยกำเนิด ของทางออกของประจำเดือน กรณีนี้เราจะเจอได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเยื่อพรหมจารีปิด
5. ปัจจัยลดความเสี่ยงของโรคอยู่ 3 ปัจจัย คือ
5.1 การตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์หลายครั้งโอกาสเป็นโรคก็จะน้อยลง การตั้งครรภ์ผู้หญิงจะไม่มีภาวะของการมีประจำเดือนไปเป็นเวลา 9-10 เดือน หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งยาคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมนที่มีชื่อว่า โปเตสเซอโรน
5.2 การออกกำลังกายมาก ๆ โดยเฉพาะการออกกำลังตั้งแต่วัยรุ่นจะต้องออกกำลังกายมากกว่าสัปดาห์ละ 7 ชม. อันนี้จะเป็นการลดฮอร์โมนเอสโตเจน เป็นผลทำให้เกิดโรคน้อยลง
5.3 การสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดเอสโตนเจนน้อยลง โอกาสการเกิดโรคก็จะน้อยลง แต่ที่กล่าวมาก็ไม่ ได้หมายความว่าจะสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนต้องสูบบุหรี่
6. ลักษณะอาการผิดปกติเบื้องต้นเป็นอย่างไร
6.1 คนไข้จะมีอาการปวดประจำเดือนทุกเดือน แต่อาการปวดประจำเดือนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคนี้ ซึ่งลักษณะอาการปวด คือ มีอาการปวดอย่างรุนแรงและจะปวดมากขึ้นมากขึ้นทุกเดือน เป็นอย่างนี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
6.2 มีอาการเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
6.3 ผู้ป่วยจะมีบุตรยาก
7. เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือไม่
อาศัยจากประวัติก่อนทำการตรวจร่างกายคนไข้ และจะมีการช่วยวินิจฉัยหลายอย่าง เช่น ....การทำอัลตราซาวด์ ส่องกล้อง ตรวจภายในอุ้งเชิงกราน การเจาะเลือดตรวจทูเมอร์ ....
การวินิจฉัยโรค ถ้าเกินเราอัลตราซาวด์แล้วเราเห็นก้อนชัด ๆ ก็จะสามารถบอกได้ทันที แต่ในกลุ่มที่คนไข้ที่มีผลการตรวจคนไข้ไม่ชัดเจน กลุ่มนี้เรามักจะต้องใช้วิธีส่องกล้องตรวจภายในอุ้งเชิงกราน
8. จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกหรือไม่ --- ในกรณีที่เราผ่าตัดเอาเฉพาะพยาธิสภาพออก โดยที่เก็บตัวมดลูกและรังไข่ไว้คนไข้ ก็จะมีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีก
9. อันตรายของโรคนี้มากน้อยแค่ไหน ---ใน กรณีที่เป็นมาก ๆ คนไข้ก็จะมีพังพืดเกิดขึ้นในอุ้งเชิงกราน ผังพืดที่เกิดขึ้นมีการรัดอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง เพราะฉะนั้นการผ่าตัดจำเป็นต้องอาศัยฝีมือขอศัลยแพทย์ที่ดี พอประจำเดือนมาครั้งต่อไป ตัวโรคก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นหากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ก้อนช๊อกโกแลตซีสเกิดแตก สารของเหลวที่อยู่ภายในก็จะออกมากระตุ้นเยื่อบุช่องท้อง ทำให้คนไข้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน
 10. การป้องกันควรทำอย่างไร   เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการตรวจภายใน หรือ มีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน
ในหญิงกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ เราอาจพิจารณณาให้การป้องกันด้วยการกินยาคุมกำเนิด เริ่มตั้งแต่วัยเริ่มมีประจำเดือนและหยุดยาต่อเมื่อมีบุตร ขอแนะนำให้ผู้หญิงที่แต่งงาน ตั้งครรภ์เร็ว ๆ


1. ทำไมหญิงยุคใหม่เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ?
"ถ้าดูในเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตผิดที่ พบว่า ถ้านำผู้หญิง 100 คนมาทำการส่องกล้องเข้าไปดูในขณะที่มีประจำเดือน ผู้หญิงเกือบทั้ง 100 คน จะมีภาวะลือดระดูไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้องทุกคน"
2. ทำไมบางคนเกิดอาการเป็นถุงน้ำซึ่งทำให้ เกิดความเจ็บปวดมากมาย แต่บางคนไม่เป็น ? ---คน ไข้กลุ่มที่เป็นถุงน้ำมักจะมีปัญหาในเรื่องภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่องซึ่ง ไม่สามารถจะทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เติบโตผิดที่นี้ได้ ในขณะที่ผู้หญิงปกติทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุโพรงมดลูก ที่เจริญเติบโตผิดที่ได้ "ส่วนที่ดูเหมือนกับว่าผู้หญิงในปัจจุบันเป็นโรคนี้กันมาก ก็เพราะความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี
3. อาการที่น่าสงสัยว่า จะเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตเกี่ยวกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ --- ผู้หญิงที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ จะมีอาการปวดท้องมากเวลาที่มีประจำเดือน
"การที่จะแยกว่าอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือนจะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าสิ่ง แรกท ี่ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องอายุ นั่นคือถ้าอายุยังไม่มาก แล้วปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดท้องธรรมดา แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน พออายุ 30 ปีขึ้นไปอยู่ๆ ก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมา และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป อาการดังกล่าวค่อนข้างบ่งชี้ว่าน่าจะเป็น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิด
ที่"  

No comments:

Post a Comment